กกต.ประกาศรับรอง ส.ส. 500 คน จับตาการจัดตั้งรัฐบาล

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติประกาศรับรองผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน รวม ส.ส. 500 คน นับเป็นก้าวแรกของสภาชุดใหม่ ก่อนจะมีการเรียกประชุมสภา เพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรและนายกรัฐมนตรี

นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เผยผลการนับคะแนนการเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 เขต และแบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคการเมืองทั้ง 67 พรรคการเมือง โดยหลังการประกาศผลการเลือกตั้งพบหลักฐานที่ชี้ชัดว่าผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการทุจริตในการเลือกตั้งหรือรู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่น ให้กกต.ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น ตามอำนาจพิจารณาการสืบสวนหรือไต่สวน มาตรา 138 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561

ทั้งนี้ ให้ผู้ได้รับการประกาศรับรอง มารับหนังสือรับรองการได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ทั้ง 2 แบบ ตั้งแต่วันที่ 20 – 24 มิถุนายน 2566 เวลา 08.30-16.30 น. ที่สำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะ ไม่เว้นวันหยุดราชการ โดยพรรคที่ได้รับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อมี 17 พรรค ประกอบด้วย

- พรรคก้าวไกล 39 คน

- พรรคเพื่อไทย 29 คน

- พรรครวมไทยสร้างชาติ 13 คน

- พรรคประชาธิปัตย์ 3 คน

- พรรคภูมิใจไทย 3 คน

- พรรคประชาชาติ 2 คน

- พรรคครูไทยเพื่อประชาชน 1 คน

- พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน

- พรรคชาติพัฒนากล้า 1 คน

- พรรคท้องที่ไทย 1 คน

- พรรคไทยสร้างไทย 1 คน

- พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 คน

- พรรคเป็นธรรม 1 คน

- พรรคพลังประชารัฐ 1 คน

- พรรคพลังสังคมใหม่ 1 คน

- พรรคเสรีรวมไทย 1 คน

- พรรคใหม่ 1 คน รวม 100 คน

สำหรับเรื่องร้องเรียนอยู่ระหว่างที่สำนักงาน กกต.พิจารณาอยู่ ซึ่งจะต้องให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีนับตั้งแต่วันประกาศผล โดยที่ประกาศไปก่อน 400 เขต เนื่องจากกระบวนการและวิธีพิจารณาเรื่องสืบสวน อาจจะไม่เสร็จทันภายใน 60 วันหลังวันเลือกตั้ง โดยยังต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่จะมีโอกาสมาแก้ต่าง และมีการอ้างพยานหลักฐาน แต่ละสำนวนเป็นจำนวนมาก ทางกกต.จึงได้ประกาศผลก่อน โดยไม่ตัดอำนาจ กกต.ในการดำเนินการตามมาตรา 138

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวจาก กกต. เผยว่า ในวันแรกของการเปิดให้ ส.ส. มารับหนังสือรับรอง เพื่อนำไปใช้รายงานตัวที่รัฐสภานั้น พบว่า มี ส.ส.จากพรรคการเมืองต่างๆ มารับหนังสือรับรองแล้ว 92 คน เป็น ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 78 คน และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 14 คน โดยสำนักงาน กกต. จะเปิดให้รับหนังสือรับรองไปจนถึงวันเสาร์ที่ 24 มิ.ย.นี้ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.

ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 121 กำหนดว่า ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่ กกต. รับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก หรือหมายความว่า ภายใน 3 กรกฎาคม 2566 จะต้องมีการเรียกประชุมสภาเป็นครั้งแรก

แจงความพร้อม รับรัฐบาลชุดใหม่

ด้านนางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เผยว่า หลังจากที่ส.ส.ใหม่รายงานตัวแล้ว จะมีการประสานไปยังสำนักงานเลขาธิการนายกฯ เพื่อแจ้งจำนวนส.ส.ที่มารายงานตัว และเมื่อครบ 95% ที่จะสามารถเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก หรืองานรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาแล้ว ทางสำนักงานเลขาธิการนายกฯ จะแจ้งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการในขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง

โดยขั้นตอนต่อไป คือ การนัดประชุมสภาฯ เพื่อเลือกประธานสภาฯ และรองประธาน ตามจำนวนที่ส.ส.ตกลงกัน เบื้องต้นในหลักปฏิบัติที่ผ่านมา จะกำหนดให้มีรองประธานสภาฯ จำนวน 2 คน ทั้งนี้ตามข้อบังคับการประชุมสภาฯ กำหนดให้ประชุมภายใน 10 วัน ช่วงวันที่

3 - 13 ก.ค. 66 โดยการลงมติเลือกประธานสภาฯ และรองประธาน สภาฯ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุม หลังจากเลือกประธาน และรองประธานสภาฯ เป็นขั้นตอนของการทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

หลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แล้ว ถึงจะกำหนดช่วงเวลาของการเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อเลือกบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เบื้องต้นในขั้นตอนปฏิบัติต้องแจ้งกำหนดการประชุมและวาระให้สมาชิกรัฐสภารับทราบไม่น้อยกว่า 3 วัน ถึงจะเป็นวันประชุมรัฐสภา

นายกฯ ร่วมยินดี ส.ส.ใหม่ หวังจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้แสดงความยินดีกับ ส.ส. ใหม่ โดยหวังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ผ่านพ้นไปโดยไว เนื่องจากมีหลายเรื่องที่ต้องส่งไม้ต่อโดยเฉพาะปัญหาของประชาชนที่ต้องแก้เร่งด่วน และจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ระหว่างที่เป็นรัฐบาลรักษาการ เพราะติดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ซึ่งต้องหามาตรการที่เหมาะสมดำเนินการ หากการตั้งรัฐบาลช้าเกินไป ก็จะมีปัญหาต่อไปเรื่อย ๆ การเตรียมข้อมูลเพื่อส่งมอบให้รัฐบาลใหม่ก็ต้องมี ทุกกระทรวงก็เตรียมส่งต่อ ซึ่งพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อลดผลกระทบในทุกมิติ และให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ในขณะที่ประชาชนจะต้องได้รับการดูแลมากขึ้น.

------------------------------------