ฟังวิทยุออนไลน์

รัฐบาลสนับสนุนมาตรการ EV 3.5 ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

ครม. มีมติเห็นชอบตามที่กรมสรรพสามิตได้นำเสนอการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 - 2570 สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือมาตรการ EV3.5 อุดหนุนรถ EV
3 ประเภท ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า อัตราอุดหนุนยานยนต์ไฟฟ้าสูงสุด 1 แสนบาท โดยจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่
2 มกราคม 2567
การอุดหนุนของรัฐในมาตรการ EV 3.5
รถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท
ขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh
ซื้อในปี 2567 จะได้รับส่วนลด 100,000 บาท/คัน
ซื้อในปี 2568 จะได้รับส่วนลด 75,000 บาท/คัน
ซื้อในปี 2569 - 2570 จะได้รับส่วนลด 50,000 บาท/คัน
ขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 kWh
ซื้อในปี 2567 จะได้รับส่วนลด 50,000 บาท/คัน
ซื้อในปี 2568 จะได้รับส่วนลด 35,000 บาท/คัน
ซื้อในปี 2569 - 2570 จะได้รับส่วนลด 25,000 บาท/คัน
รถกระบะไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท
ขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท/คัน เมื่อซื้อในระยะเวลาโครงการ (2567 - 2570) เฉพาะส่วนที่ผลิตในประเทศ
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 150,000 บาท
ขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 10,000 บาท/คัน เมื่อซื้อในระยะเวลาโครงการ (2567 - 2570) เฉพาะส่วนที่ผลิต
ในประเทศ
เงื่อนไขกระตุ้นการลงทุนในประเทศ สำหรับผู้ประกอบการ
ลดอากรขาเข้า - ไม่เกินร้อยละ 40 สำหรับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) ที่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ในช่วง 2 ปีแรก (พ.ศ. 2567 - 2568)
ลดอัตราภาษีสรรพสามิต - จากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท โดยได้กำหนดเงื่อนไขการลงทุนในประเทศ ให้ผู้ได้รับการสนับสนุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อชดเชยการนำเข้าภายในปี 2569 ในอัตราส่วน 1 : 2 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 2 คัน) และจะเพิ่มอัตราส่วนเป็น 1 : 3 ในปี 2570
ทั้งนี้ ภายใต้มาตรการ EV3.5 กรมสรรพสามิตคาดว่าจะมียานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการสนับสนุนตลอดระยะเวลา 4 ปี จำนวนประมาณ 830,000 คัน โดยแบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 454,000 คัน รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 346,000 คัน และรถกระบะไฟฟ้า 30,000 คัน โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณจำนวน 34,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 4 ปี
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นชอบให้กรมสรรพสามิตขยายเวลาการ
จดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิตามมาตรการ EV 3 จากเดิมที่ต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ให้ขยายเวลาเป็นต้องจำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 และต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 เพื่อให้ผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อยานยนต์ไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2566 สามารถยื่นจดทะเบียนได้ทันภายในเดือนมกราคม 2567
ไทยเป็นฮับยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค
บอร์ดอีวีชุดใหม่ซึ่งมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้ให้ความสำคัญในการผลักดันให้ไทยเป็นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ในภูมิภาค ตามนโยบาย 30@30 ที่ตั้งเป้าหมายการผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด ภายในปี 2573 คิดเป็นกำลังการผลิตรถยนต์ประมาณ 725,000 คัน และรถจักรยานยนต์ประมาณ 675,000 คัน และตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทย ที่ต้องการผลักดันให้เกิดความต่อเนื่องของนโยบายในการสนับสนุนให้ไทยเป็นฮับยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค และดึงนักลงทุนรายใหม่ให้เข้ามาตั้งฐานผลิตในประเทศ รวมถึงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการรายเดิมเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการลดก๊าซเรือนกระจก และก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050

Line

คะแนนโหวต :
StarStarStarStarStar